กระเพาะอาหาร, กรดไหลย้อน มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหาร เชื้อแบคทีเรียสู่กระเพาะอาหาร

สาเหตุโรค กระเพาะอาหาร และลำไส้สู่มะเร็ง

เชื้อเอสไพโลไร เป็นเชื้อปบคทีเรียร้ายที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการอักเสบของ กระเพาะอาหาร และลำไส้ ถ้าเราได้รับเชื้อตัวนี้ในระยะยาว จะทำให้เกิดกระเพาะอักเสบและเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

ปกติใน กระเพาะอาหาร มีการสร้างกรดเพื่อทำลายอาหารที่ปนเปื้อน แบคทีเรียส่วนใหญ่เมื่อลงสู่กระเพาะถ้าเชื้อไม่รุนแรงมาก จะถูกกรดทำลายไปส่วนหนึ่ง รวมถึงแบคทีเรียบางชนิดไม่สามารถอยู่ในกระเพาะอาหารได้ แต่เชื้อเอชไพโลไร มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถเกาะกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะ รวมถึงสามารถผลิตด่างขึ้นป้องกันตัวเอง แทรกอยู่ระหว่างช่องเซลล์ของผิวบุกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะผู้ติดเชื้อนานนับ 10 ปี โดยอาจไม่มีอาการใดๆ

ทั้งนี้หากมีการติดแบบเฉียบพลัน หรือในปริมาณเชื้อมากๆ จะมีอาการเหมือน กระเพาะอาหารอักเสบโดยมีใข้ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไป เนื่องจากกลไกร่างกายพยายามทำให้การอักเสบเบาลงแต่เชื้อยังไม่ตายและที่ผู้รับเชื้อในปริมาณน้อยอาจไม่มีอาการใดๆ เลย และเชื้อก็จะฝังตัวอยู่ในกระเพาะอาหารไปเรื่อยๆ โดยสร้างความเป็นด่างในกระเพาะเพิ่มขึ้นจนผู้ป่วยเกิดการอักเสบเรื้อรังที่ผิวกระเพาะอาหาร โดยมีอาการหรือไม่มีก็ได้

โดยเชื้อโรคนี้ติดโดยการกิน ซึ่งการกินเชื้อโรคก็มีหลายอย่าง ตั้งแต่อาหารปนเปื้อน และการติดจากเนื้อเยื่อคัดหลั่งสารที่ปนเปื้อนแล้วกินเข้าไป ตอบไม่ได้ว่าอาหารเหล่านี้ติดมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญก็คือ ถ้ามีอาการปวดอุจจาระ แน่นท้อง ก็อาจจะมาจากสาเหตุตัวนี้ก็ได้ ซึ่งการติดเชื้อนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แต่มักพบในเด็กและจะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากอาศัยอยู่กับผู้ที่มีเชื้อ H.Pylori หรืออาศัยอยู่ในแออัดและสุขอนามัยไม่ดี

เมื่อเชื้อเอชไพโลไร เข้าสู่ร่างกายและจะเข้าไปทำลายเยื่อบุ กระเพาะอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลงจนไม่สามารถทนต่อกรดในกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแผลที่กระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนต้น

การติดเชื้อโรคเอซไพโลไรใหม่ๆ อาจจะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและปวดท้องธรรมดา แต่ถ้าติดไปนานๆ จะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งมะเร็งกระเพาะอาหารมีลักษณะหลายรูปแบบ ตั้งแต่มะเร็งเยื่อบุกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหาร พวกนี้ถ้าเกิดการอักเสบ จะทำให้ตัวน้ำเหลืองหรือเม็ดเลือดขาวขยายตัวมากขึ้น ก็จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดไม่รุนแรงของกระเพาะอาหาร ซึ่งรักษาโดยกำจัดเชื้อเอสไพโลไร

อาการของการติดเชื้อ H.Pylori

  • ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องส่วนบนบริเวณเหนือสะดือและจะยิ่งปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหาร
  • คลื่นไส้
  • ท้องอืด เรอบ่อย
  • ไม่อยากอาหาร
  • น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีปัญหาในการกลืน
  • ปวดท้องรุนแรงเรื้อรัง
  • อาเจียนเป็นเลือดหรืออาเจียนมีสีน้ำตาลคล้ำ
  •  อุจจาระเป็นเลือด ลักษณะของอุจจาระเป็นสีดำคล้ายมีกลิ่นรุนแรง

การป้องกันเชื้อโรค H.Pylori ได้อย่างไร

  • ล้างมือก่อนทานอาหาร และเมื่อเสร็จห้องน้ำให้ล้างมือทุกครั้ง
  • ไม่ทานอาหารดิบ ปรุงอาหารสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารไม่สะอาด
  • ไม่ทานอาหารรสจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มคาเฟอีน และเลิกบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เก็บไว้นานๆ อย่างเช่น อาหารแช่แข็งกินไม่หมดเอาไปแช่ไว้แล้วเอากลับมากินใหม่ ถ้ามันนานเกินไปหรือเก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม อันนี้ต้องระวัง
  • ไม่เครียด เพราะความเครียดจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการอักเสบในร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพรินและยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หากมีอาการปวดหรืออักเสบ เพราะยาดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหาร

การติดเชื้อ H.Pylori สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และทานและสังเกตอาการที่น่าสงสัย เช่น อาการปวดท้องอย่างรุนแรงเรื้อรัง ทานยาลดกรด แล้วก็ไม่ดีขึ้น ท้องอืด อาเจียน เรอบ่อย มีปัญหาการกลืน น้ำหนักลด อุจจาระเป็นสีดำ เป็นสัญญาณเตือนให้เราไปพบแพทย์รีบทำการรักษาโดยเร็ว ก่อนที่อาการจะพัฒนาและเกิดการกลายพันธุ๋ของเนื้อเยื่อ กลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในที่สุด จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อ H.Pylori เป็นได้ง่ายและพบได้ทั่วไป แต่รักษาหายได้ยาก ควรใส่ใจการทานให้ถุกสุขลักษณะ จะได้ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

ผู้ที่มีควรตรวจเช็คเชื้อ H.Pylori ในกระเพาะอาหาร

  1. ผู้ที่มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เหนือสะดือหรือยอดอก เป็นๆหายๆ ปวดแสบท้อง จุกเสียด บีบเกร็ง แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ มีลมมาก หรือไม่ตอบสนองต่อยาต้านการลดกรด
  2. ผู้ที่กำลังป่วยหรือ เคยเป็นแผลเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
  3. ผู้ที่มีรอยถลอกในกระเพาะอาหาร
  4. ผู้ที่ต้องใช้กลุ่มยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ หรือยาแอสไพรินในระยะยาว หรือปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างต่อการตกเลือดในทางเดินอาหารส่วนบน หรือเป็นแผลเป็นมาก่อน
  5. ผู้ที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังรักษามะเร็งแล้วจะช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งซ้ำได้อย่างน้อยร้อยละ 58 ของผู้ป่วย
  6. ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหาร

โรคและภาวะที่แทรกซ้อนที่เกิดขึ้น กับกระเพาะอาหาร

  • กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
  • กระเพาะอาหารเป็นแผล
  • มะเร็งกระเพาะอาหาร
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหาร

โรคและภาวะที่แทรกซ้อนที่เกิดขึ้น กับอวัยวะอื่นๆของร่างกาย

  • โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • โรคเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่ายผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ
  • โรคขาดวิตามินบี 12

ภาวะการติเชื้อ H.Pylori ในกระเพาะอาหารเป็นปัญหาสำคัญในประชากรไทยทำให้เกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อร่างกาย และควรรักษาให้หายและตรวจเช็คซ้ำเพื่อยืนยันว่าเชื้อไม่พบแล้ว เพื่อไม่เสี่ยงต่อการลามไปสู่มะเร็งกระเพาะอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเราไม่มารบกวนการดำเนินชีวิตที่มารบกวนใจเราอีกต่อไป

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

กรีนเคอมิน, green curmin, curma max, เคอม่าแม็กซ์,กรดไหลย้อน,โรคกระเพาะอาหาร, หูรูดหลอดอาหาร,กระเพาะอาหารอักเสบ,แผลในกระเพาะอาหาร,ท้องผูก,อาหารไม่ย่อย ท้องอืด แน่นท้อง ขมิ้นชัน จุกเสียดท้อง จุกลิ้นปี่ จุกคอ เรอเปรี้ยว ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน

โรคกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะความเหมือนที่ต่างกันอย่างไร